กลัวที่จะสูญเสียคนรัก ทำไมยิ่งรักษาถึงยังถูกทอดทิ้ง
ความรักและความสัมพันธ์
การสร้างขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย
การรักษาไว้ก็เป็นเรื่องยากไม่น้อย
สำหรับคนที่ขาดความรัก และ ต้องการความรักอย่างมาก
มักมีความรู้สึก #กลัวที่จะสูญเสียความรัก
ยิ่งหวาดกลัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพยายามรักษาไว้มากเท่านั้น
มีทั้งผู้คนที่ประสบความสำเร็จ และ ล้มเหลว
ในวันนี้ผมอยากจะขอแบ่งปันประสบการณ์จากงานการปรึกษาเชิงจิตวิทยา
ที่ได้มีส่วนร่วมในประสบการณ์นี้ของผู้มาปรึกษาทั้งหลายเมื่อเราพูดถึงความกลัวที่จะสูญเสียความรัก
มีทฤษฎีที่หลากหลายที่อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ผมมักให้ความสนใจถึงประสบการในวัยเด็กโดยมุ่งความสนใจไปที่ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ / ผู้เลี้ยงดู
ผมมักพบว่า ความรู้สึกที่กลัวจะสูญเสียความรักในวันนี้ มีความเชื่อมโยงกับการเลี้ยงดูในวัยเด็ก (ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ / ผู้เลี้ยงดู ที่มีร่วมกับ เด็ก)มันเหมือนเป็นสิ่งที่เราขาดหาย และมีความต้องการที่จะได้รับอยู่ตลอดเวลา #เพื่อชดเชยสิ่งที่เราควรได้รับในวัยเด็กโดยธรรมชาติของมนุษย์ ความต้องการที่จะได้รับความรักเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด
หากไร้ซึ่งการเลี้ยงดูที่ดีตามสมควร และ การแสดงออกความรักที่อบอุ่น การจะมีชีวิตอยู่รอดก็เป็นเรื่องยาก หรือ หากมีชีวิตรอดมาได้ ก็ไร้ซึ่งความมุ่นคงทางจิตใจ ไม่สามารถมีความรู้สึกปลอดภัยในการดำเนินชีวิตได้ประสบการณ์เช่นนี้ส่งผลต่อทักษะมนุษย์สัมพันธ์ของเรา
สิ่งที่ขาดหายไป รวมกับธรรมชาติที่ต้องการได้รับนั่นทำให้เราต้องการความรักเป็นอย่างมากและอยากรักษามันเอาไว้เมื่อได้รับมาเพราะครั้งหนึ่งในช่วงเวลาที่ควรได้รับมันกลับไม่ได้รับจากบุคคลที่ควรให้เราเมื่อวันนี้เรามีโอาสที่คว้ามันมาการมีสิ่งที่ต้องอยู่ในมือ ก็พยายามรักษาไว้อย่างสุดชีวิตแต่อาจจะด้วยความไม่อยากที่จะสูญเสียนี่แหละที่จะทำให้เขาอยากเดินจากเราไปมากกว่าเดิมพอกลัวที่จะสูญเสีย เลยเลือกที่ควบคุมและปกครอง (control and dominace)
ก็เป็นการตีกรอบ ครอบรัดคู่รักของตัวเอง แล้วท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครทนความอึดอัดที่บีบรัดชีวิตได้
ความสัมพันธ์ที่ไม่ให้พื้นที่ ไม่ต่างอะไรกับถุงนอนที่ขยับดิ้นไม่ได้ อยู่ตลอดไปคงไม่ไหวยิ่งกลัวจะสูญเสีย ก็ยิ่งอยากควบคุมเขาไว้ กลายเป็นยิ่งทำให้เขาเดินหนีจากเราไปความรักและความสัมพันธ์ มีข้อเท็จจริงข้อหนึ่งคือ
#คนเพียงคนเดียวรักษามันไว้ไม่ได้
เรื่องที่น่าเห็นใจที่ผมค้นพบก็คือบางครั้งอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะเดินหนีหายไปไหนไม่ได้แสดงสัญญาณว่าจะหายไป
แต่เป็นเราเองนี่แหละที่ถูกความกลัวในใจคุกคามจนรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะหายจากเราไปทั้งที่ไม่ใช่
เมื่อความรู้สึกไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแล้วท้ายที่สุด เราดำเนินความสัมพันธ์ด้วยบาดแผลในใจ
แล้วเราก็ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังเป็นแบบนั้นสิ่งที่เรารับรู้ก็คือ #ฉันแค่ไม่อยากเสียคนรักของฉันไป
ความพยายามที่จะรักษานั้นไม่ใช่เรื่องผิดแต่หากมันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงความสัมพันธ์ก็คงดำเนินต่อไปได้ยาก
เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะไปกับเราได้ตลอดบางครั้งมันพบความจริงระหว่างทาง #เขาไม่ใช่แล้วนะ
เราก็ยิ่งอยากรักษาไว้ เพียงเพราะเราไม่อยากสูญเสียเราใช้ชีวิตกับบาดแผลในอดีต
จนไม่มองความจริงในวันที่เราโตขึ้นแม้จะรักษาไว้ได้ แต่ก็ไม่ได้มีความสุข
" เราเลือกที่จะมีความรักแบบทุกข์ ๆ เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความสูญเสียอีกแล้ว ไม่อยากจะต้องเริ่มต้นใหม่เพราะหวาดกลัวความผิดหวัง "จากประสบการณ์ การจะแก้ไขเรื่องนี้ก็ไม่ง่ายเช่นกันปัญหาในความสัมพันธ์ของแต่ละคนก็แตกต่าง
มันขึ้นอยู่กับรูปแบบ และคนอีกคนในความสัมพันธ์แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพบว่าทุกคนมีเหมือนกันก็คือการใช้ชีวิตในปัจจุบันผ่านบาดแผลในอดีตของตน
ผมคงยอมรับด้วยความจริงว่า มันไม่มีคำตอบของโจทย์ปัญหานี้อย่างตายตัวและชัดเจน ทุกคนมีวิธีการรับมือ จัดการกับบาดแผลในอดีตแตกต่างกันออกไปเช่นเดียวกัน กับความสัมพันธ์ในปัจจุบันก็ด้วยเพราะมันไม่ใช่แค่เรา มันมีเขาอีกคนอยู่ด้วยผมไม่ได้ตั้งความคาดหวังว่าจะมีใครได้คำตอบอะไรหรือแก้ไขประเด็นนี้ในชีวิตได้หากคุณกำลังเผชิญอยู่
สิ่งที่ผมคาดหวังก็เพียงให้คุณได้ตระหนักชัดว่าคุณกำลังใช้ชีวิตผ่านบาดแผลในอดีตหรือเปล่าเพียงตระหนักในจุดนี้ได้ ก็คงเป็นอะไรที่ดีมากแล้วเมื่อคุณตระหนักได้จริง ๆ คุณก็มีศักยภาพที่จะหลุดพ้นจากมันหรือถ้าคุณพาตัวเองออกมันไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เริ่มรู้ตัวแล้วและในวันข้างหน้า จะเป็นคุณเองที่ตัดสินใจได้ว่า
" จะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี